วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

14 November 2013

Learnning 2
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
(Children with special needs)
1.ทางการแพทย์
          มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า "เด็กพิการ" หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติมีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
2.ทางการศึกษา
          ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึง เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
   --> มีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ" มี IQ 120 ขึ้นไป
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความกพร่อง
   กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
    1) เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
    2)เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
    3)เด็กบกพร่องทางการเห็น
    4)เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
    5)เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
    6)เด็กบกพร่อวทางพฤติกรรมและอารมณ์
    7)เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
    8)เด็กออทิสติก
    9)เด็กพิการซ้อน

1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา(Children with Intellectual Disabilities)
   หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาวว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
****เด็กเรียนช้า 
   - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
   - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
   - ขาดทักษะในการเรียนรู้
   - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพีบงเล็กน้อย
   - มีระดัสติปัญญา 71-90
   *สาเหตุ
   1.ภายนอก
   - เศรษฐกิจของครอบครัว
   - การเสริมสร้างประสบการณ์ให้แก่เด็ก
   - สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
   - การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
   - วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
  2.ภายใน
   - พัฒนาการช้า
   - การเจ็บป่วย

****เด็กปัญญาอ่อน
   - เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
   - แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
   - มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
   - มีความจำกัดทางด้านทักษะ
   - มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
   - มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
1.เด็กปัญญาอ่อนหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 เรียกว่า C.M.R.(Custodial Mental Restar dation)
3.เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 เรียกว่า T.M.R(Trainable Mentally Retarded)
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียกว่า E.M.R(Education Mentally Retarded)

2.เด็กกพร่องทางการได้ยิน(Chilrren with Hearing Impaired)
   หมายถึง เด็กที่มีความกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท เด็กหูตึงและเด็กหูหนวก
****เด็กหูตึง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
****เด็กหูหนวก

   -เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
   -เครื่องช่วยฟังไม่สามาถช่วยได้
   -ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
   -ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

3.เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
  จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และเด็กตาบอดไม่สนิท
สะท้อนผลการเรียนรู้
    วันนี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความกพร่องไปทั้งหมด 2 ประเภท ทำให้ได้รู้ว่าเราควรที่จะส่งเสริมเด็กแต่ละประเภทอย่างไร เพื่อให้มีความสามารถในการเรียนรู้ได้เต็มที่

7 November 2013

Learnning 1

       การเรียนการสอนในวันนี้อาจารย์ให้ทำMind mappingสรุปความเข้าใจตนเองในคำว่า"เด็กพิเศษ" 


งานที่ได้รับมอบหมาย
*หางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 1 เรื่อง ซ้ำได้ 2 คน
*นำเสนองานกลุ่มเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 5 ประเภท กลุ่มละ 1 ประเภท
*สร้างBlogger แล้วบันทึกสิ่งที่เรียนในแต่ละวัน

สะท้อนความรู้ที่ได้รับ
       วันนี้เป็นวันที่อาจารย์เบียได้ให้นักศึกษามีความคิดกลั่นกรองความรู้ออกมาให้เป็นMindmappingทำให้รู้จักใช้การคิด และได้รัความรู้เพิ่มเติมจากอาจารย์เบียด้วย