วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

2 January 2014

Learning 8
**หมายเหตุ
เป็นช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่

วันขึ้นปีใหม่ เป็นเวลาที่ปฏิทินปีใหม่เริ่มต้นและนับปีปฏิทินเพิ่มขึ้นหนึ่งปี วันขึ้นปีใหม่ในปฏิทินเกรโกเรียนที่ใช้กันทั่วโลกปัจจุบัน ตรงกับวันที่ 1 มกราคม
อนึ่ง เทศกาลปีใหม่ อาจหมายถึงวันที่นับจากวันหยุดวันแรกในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมปีก่อน จนถึงวันหยุดสุดท้ายในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม สำหรับชาวคริสต์จะหยุดตั้งแต่คริสต์มาสไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่ รวม 8 วัน

ประวัติ

วันปีใหม่มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนทุก 4 ปี
ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน
เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน
วันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกพอดี เรียกว่า วสันตวิษุวัต
แต่ในปี พ.ศ. 2125 วสันตวิษุวัติ กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรโกเรียน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

19 November 2013

Learning 7
**หมายเหตุ
เป็นช่วงเวลาของการสอบกลางภาค
ตั้งแต่วันที่ 19 - 26 ธันวาคม 2556



12 December 2013

Learning 6
#พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ#

   พัฒนาการ  หมายถึง 
*การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะส่วนต่างๆ รวมทั้งตัวบุคคล

    *ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
#เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
       - เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน
       - พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้านหรือทุกด้าน
       - พัฒนาการล่าช้าในด้านใดด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าด้วยก็ได้
#ปัจจัยที่ส่งผลทำให้พัฒนาการล่าช้า
       - ปัจจัยด้านชีวภาพ เช่น  ยีนส์  โครโมโซม
       - ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด เช่น การดูแลครรภ์
       - ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด เช่น ขั้นตอนในการทำคลอด
       - ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด เช่น การดูแลเด็ก
#สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
       1 ) โรคทางพันธุกรรม  คือ  เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะเวลาไม่นานหลังเกิด มักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย  เช่น  โรคผิวเผือก  โรคเท้าแสนปม  
       2 )  โรคของระบบประสาท  คือ เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรืออาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วย อาการที่พบบ่อย คือ  การชัก
       3 )  การติดเชื้อ  คือ มีการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภฺ์  น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย  ศีรษะเล็กกว่าปกติ  อาจมีตับโต  ม้ามโต  การได้ยินบกพร่อง  ต้อกระจก  นอกจากนี้การติดเชื่อรุนแรวภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง
       4 )  ความผิดปกติเกี่ยวกับเมทาบอลิซึม โรงคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ  ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
       5 )  ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด  การเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย  และภาวะการขาดออกซิเจนในระหว่างคลอด  เช่น รกผันคอเด็ก
       6 )  สารเคมี  
               -สารตะกั่ว เป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็กและมีการศึกษามากที่สุด เด็กที่ได้รับสารมากจะส่งผลให้เด็กมีอาการซึมเศร้า  ผิวดำคล้ำเป็นจุดๆ  ภาวะตับเป็นพิษ   เคลื่อนไหวช้า ระดับสติปัญญาต่ำ
               -แอลกฮอล์ ส่งผลให้มีอัตราเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อยมาก ศีรษะเล็ก  พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง  เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์  เรียกว่า  Fetal Alcohol Syndrom (FAS) มีลักษณะ ช่องตาสั้น  ร่องริมฝีปากบนเรียบ ริมฝีปากบนยาวและบาง หนังคลุมหัวตามาก  ปลายจมูกเชิดขึ้น
               -นิโคติน  เด็กน้ำหนักน้อยมากเพราะขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์  เวลาสูบบุหรี่หลอดเลือดจะตีบทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไปเต็มที่  ทำให้สติปัญญาอ่อน  เพิ่มอัตราการตายในวัยทารก สติปัญญาบกพร่อง  สมาธิสั้ัน  พฤติกรรมก้าวร้าว  มีปัญหาในการเข้าสังคม
          7 )  การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
#อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
               - มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากว่า 1 ด้าน
               - ปฏิกิริยาสะท้อน(Primitive reflex)  ไม่หายไปแม้ถึงช่วงอายุควรจะหาย 
#แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
           1 )  การซักประวัติ  
- โรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรม
- การเจ็บป่วยในครอบครัว
- ประวัติฝากครรภ์
- ประวัติเกี่ยวกัการคลอด
- พัฒนาการที่ผ่านมา
- การเล่นตามวัย การช่วยเหลือตนเอง
- ปัญหาพฤติกรรม
- ประวัติอื่นๆ
    เมื่อซักประวัติแล้วจะสามารถบอกได้ว่า
                       - ลักษณะพัฒนาล่าช้าเป็นแบบคงที่  หรือ  ถดถอย
                       - เด็กมีพัฒนาการล่าช้าหรือไม่ อย่างไร ระดับไหน
                       - สาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร
                       - มีข้อบ่งชี้ว่ามีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่
                       - ขณะนี้เด็กได้รับการฟื้นฟูและช่วยเหลืออย่างไร
         2 )  ตรวจร่างกาย 
- ตรวจร่างกายทั่วๆไปและการเจริญเติบโต
- ภาวะตับม้ามโต
- ผิวแห้ง
- ระบบประสาทและวัดรอบศีรษะเสมอ
- ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม(Child abuse)
- ระบบการมองเห็นและการได้ยิน
          3 )  การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ--->ตรวจพันธุกรรม ยีนส์ และสแกนสมองด้วยเครื่อง TC
          4 )  ประเมินพัฒนาการ  
                       - แบบไม่เป็นทางการ  เช่น  สอบถามพ่อแม่คร่าวๆ
                       - การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ  เช่น  แบบทดสอบ  Denver  II , Gesell Drawing Test , แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด-5ปี ของสถาบันราชานูกูล 
สะท้อนผลการเรียน
      ผลการเรียนรู้วันนี้ทำให้ได้รู้วิฑีการตรวจวินิจฉัยเด็กโดยเป็นขั้นเป็นตอน พัฒนาการต่างๆของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ สาเหตุต่างๆ ทำให้รู้วิธีการแก้ไขในขั้นต้นด้วย

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

5 December 2013

Learning 5.
วันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติ มีประวัติความเป็นมา และความสำคัญอย่างไร

UploadImage

วันพ่อแห่งชาติ 

         ใกล้จะถึงวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคมนี้แล้วนะคะ หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักวันพ่อแห่งชาติดีเท่าที่ควร วันนี้ศูนย์ข่าวการศึกษาไทยจึงอยากให้ทุกคนได้รู้จักวันพ่อแห่งชาติลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ

          จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หน้า 587) พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า พ่อ หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกชายผู้ให้กำเนิดตน ในทางพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า “พ่อ” หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูกมีใช้หลายคำ เช่น บิดา (พ่อ) ชนก (ผู้ให้กำเนิด) สามี (ของแม่) เป็นต้น
 

UploadImage

         วันพ่อแห่งชาติ  5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย

         วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” อันคำว่าโดย “ธรรม” นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ราชธรรม 10 ประการ”

         ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฏิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ ห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

กิจกรรมที่ควรปฏิบัติในวันพ่อแห่งชาตินี้

1. ในวันพ่อแห่งชาติเราควรประดับธงชาติไทยที่อาคารบ้านเรือน
2. จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล




UploadImage


วันพ่อแห่งชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร

      วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ

         ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี วันพ่อแห่งชาติ


วัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ

1.       เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.       เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3.       เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
4.       เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน
 


ดอกไม้ประจำวันพ่อแห่งชาติ
UploadImage
         ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ “พุทธรักษา” ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว 
     คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย


UploadImage

บทบาทของพ่อ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปบทบาทหน้าที่ของพ่อและแม่ไว้ 5 ข้อ
 1.       กันลูกออกจากความชั่ว
 2.       ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี
 3.       ให้ลูกได้รับการศึกษาเล่าเรียน
 4.       ให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี
 5.       มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงการณ์อันควร
 

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

28 November 2013

Learning 4

#เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
(Children with Behavioral and Emotional Disonders)
-เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้
-เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมางอย่างของตนเองไม่ได้
-ทำให้ไม่สามารถอยู่กับคนอื่นได้อย่างเรียบร้อย แบ่งได้ 2 ประเภท
  1.ได้รับความกระเทือนทางอารมณ์
  2.ปรับเข้ากับสังคมไม่ได้
เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ มักมีพฤติกรรมที่เห็นได้ชัด คือ
-วิตกกังวล
-หนีสังคม
-ก้าวร้าว
การจัดว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบดังนี้
-สภาพแวดล้อม
-ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
-ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
-รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือครูไม่ได้
-มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
-มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์
-แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย
-มีความหวาดกลัว
#เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์(รุนแรงมาก)
-เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deticit and Hyperactivity Disorders)
-เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autism)
**สมาธิสั้น(Children with Attention Deticit and Hyperactivity Disorders)
-เรียกย่อๆว่า ADHD
-เด็กที่ซนไม่อยู่นิ่ง ซนมากผิดปกติ ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ต้องเดิน วิ่ง ปืนป่าย รื้อของ
-เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่นขาดความยับยั้งชั่งใจ เด็กเหล่านี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า Attention Defioit Disorders (ADD)
ลัษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
-ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
-ดูดนิ้ว กัดเล็บ
-หงอยเหงาเศร้าซึม การหนีสังคม
-พูดเพ้อเจ้อ
-เรียกร้องความสนใจ
-อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
-ขี้อิจฉา ริษยา ก้าวร้าว
-ฝันกลางวัน คิดเพ้อเจ้อ นั่งใจลอย
#เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (Children with learning Disability)
-เรียกย่อๆว่า L.D.
-เด็กที่มีปัญหาด้านการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
-เด็กมีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน
-ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความกพร่องทางร่างกาย
ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
-มีปัญหาในทางคณิตศาสตร์
-ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้ ไม่รู้จักซ้าย ขวา
-เล่าเรื่อง/เรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
-มีปัญหาด้านการอ่าน การเขียน
-ซุ่มซ่าม
-รับลูกบอลไม่ได้
-ติดกระดุมไม่ได้
-เอาแต่ใจตนเอง
**ที่กล่ามารวบรวมได้ว่า ไม่มีมิติสัมพันธ์
#เด็กออทิสติก(Autistic) หรือ ออทิซึ่ม (Autism) -->ปัญญาอ่อน ,ลมชัก
-เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
-เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
-ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
-ทักษะทางภาษา
-ทักษะทางสังคม
-ทักษะการเคลื่อนไหว
-ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่
ลักษณะของเด็กออทิสติก
-อยู่ในโลกของตนเอง
-ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
-ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
-ไม่ยอมพูด
-เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
-ยึดติดวัตถุ
-ต่อต้านหรือแสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง ไร้เหตุผล
-มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
-ใช้วิธีการสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่ต่างจากคนทั่วไป
#เด็กพิการซ้อน(Children with Mutiple Handicaps)
-เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่างเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
-เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
-เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
-เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาอด

สะท้อนผลการเรียนรู้
      วันนี้ได้เรียนรู้เรื่องเด็กที่มีความอกพร่อง ทั้งหมด 5 ประเภท ทำให้รู้จักเด็กที่มีความต้องการพิเศษเพิ่มมากขึ้นและเข้าใจเด็กแต่ละประเภทว่ามีความต้องการอย่างไร และควรที่จะส่งเสริมอย่างไร

21 November 2013

Learning 3
#เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ(Children with Physical and Health Impairments)
คือ
1.เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
2.อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
3.มีปัญหาทางระบบประสาท
4.มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ  สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท  
1.อาการบกพร่องทางร่างกายคือ
- เด็กซีพี (Cerebral Palsy) มีลักษณะ คือ อัมพาต สมองพิการ หรือ สมองที่กำลังถูกพัฒนาก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
- การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน 
อาการของโรค
- อัมพาตเกร็งแขนขา หรือ ครึ่งซีก (Spastic)
-อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Atnetoid)
-อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia)
-อัมพาตตึงแข็ง (Regid)
-อัมพาตแบบผสม (Mixed)

กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
-เกิดจากเส้นประสาทสมองควบคุมกล้ามเนื้อ ส่วนนั้นๆ เสื่อมสลายตัว
-เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้  นอนอยู่กับที่ 
-จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม

โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ  (Orthopedic)
        คือ ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อน เนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
-ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่นวัณโรค กระดูก  หลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนองเศษกระดูกผุ
-กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

โปลิโอ (Polimyelitis)
มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
-ยืนไม่ได้หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสร

ความบกพร่องทางสุภาพ
โรคลมชัก (Epilepsy)
เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องจากความผิดปกติของระบบสมอง มีดังนี้
-ลมบ้าหมู (Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก จะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
-การชักในช่วงเวลาสั้นๆ(Petit Mal)
มีอาการ ชักชั่วระยะสั้นๆ5-10 วินาที  เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงัก ในท่าก่อนชัก เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
-การชักแบบรุนแรง ( Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราวๆ 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และ นอนหลับไปชั่วครู่
-อาการชักแบบ (Partial Complex) เกิดอาการเป็นระยะๆ กัดริมฝีปาก ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา บางคนอาจจะเกิดความโกรธ หรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องนอนพัก
-อาการแบบไม่รู้ตัว (Focal Partial) เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง  ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
-มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
-ท่าเดินคล้ายกรรไกร
-เดินขากะเผลก หรือ อึดอาดเชื่องช้า
-ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
-มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
-หน้าแดงง่าย  มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปาก หรือ ปลายนิ้ว 
-หกล้มบ่อยๆ
-หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ


#เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และภาษา (Children with Speech and Language Disorders) 
           เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูด ไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น  การใช้อวัยวะเพื่อการพูด ไม่เป็นไปดังตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด

1.ความผิดปกติด้านการออกเสียง
-ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม 
-เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
-เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาด  เป็นฟาด
2.ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง
3.ความผิดปกติด้านเสียง มีดังนี้
-ระดับเสียง 
-ความดัง
-คุณภาพของเสียง
4. ความผิดปกติทางการพูด และภาษาอันเนื่องมาจาก พยาธิ สภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า (Dysphasia หรือ aphasia) มีดังนี้
** Motor aphasia 
- เด็กที่เข้าใจคำถาม หรือคำสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก 
-พูดช้าๆพอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้
-พูดไม่ถูกไวยากรณ์
** Wernicke 's apasia 
-เด็กที่ไม่เข้าใจคำถาม หรือคำสั่งได้ยินแต่ไม่เข้าใจ ความหมาย
-ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้คำผิดๆ หรือใช้คำอื่นซึ่งไม่มีความหมายมาแทน
** Conduction aphasia 
-เด็กที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด เข้าใจคำถามดี แต่พูดตาม หรือ บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
** Nominal aphasia 
-เด็กที่ออกเสียงได้ เข้าใจคำถามดี พูดตามได้ แต่บอกชื่อวัตุไม่ได้เพราะลืมชื่อ บางทีก็ไม่เข้าใจความหมายของคำ มักเกิด ร่วมไปกับ Gerstmann's syndrome
**Global aphasia 
-เด็กที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน 
-พูดไม่ได้เลย
** Sensory agraphia 
-เด็กที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถาม หรือ เขียนชื่อวัตถุ ก็ ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann's syndrome
** Motor agraphia 
-เด็กที่ลอกตัวเขียน หรือ ตัวพิมพ์ ไม่ได้
-เขียนตามคำบอกไมได้
** Cortical alexia 
-เด็กที่อ่านไม่ออก เพราะไม่เข้าใจภาษา
** Motor alexia
-เด็กที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมาย แต่อ่านออกเสียงไม่ได้
**Gerstmann's syndrome
-ไม่รู้ชื่อนิ้ว (Finger agnosia)
-ไม่รู้ชี้ซ้ายขวา (Allochiria)
-คำนวณไม่ได้ (Acalculia)
-เขียนไม่ได้ (Agraphia)
-อ่านไม่ออก(Alexia)
** Visual agnosia 
-เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
** Auditory agnosia
- เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน แต่แปลความหมายของคำ หรืือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
-ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
-ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10เดือน
-ไม่พูดภายในอายุ 2ขวบ
-หลัง 3 ขวบ แล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
-ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
-หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถาศึกษา
-มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
-ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย

สะท้อนผลการเรียนรู้
    ในการเรียนวันนี้มีการเรียนเกี่ยวกับเด้กที่มีความบกพร่อง 2 ประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราสามารถไปฝึกทดสอบกับเด็กได้ว่าเด็กมีความบกพร่องใน 2 ประเภทนี้หรือไม่

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

14 November 2013

Learnning 2
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
(Children with special needs)
1.ทางการแพทย์
          มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า "เด็กพิการ" หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติมีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
2.ทางการศึกษา
          ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึง เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
   --> มีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ" มี IQ 120 ขึ้นไป
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความกพร่อง
   กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
    1) เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
    2)เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
    3)เด็กบกพร่องทางการเห็น
    4)เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
    5)เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
    6)เด็กบกพร่อวทางพฤติกรรมและอารมณ์
    7)เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
    8)เด็กออทิสติก
    9)เด็กพิการซ้อน

1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา(Children with Intellectual Disabilities)
   หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาวว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
****เด็กเรียนช้า 
   - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
   - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
   - ขาดทักษะในการเรียนรู้
   - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพีบงเล็กน้อย
   - มีระดัสติปัญญา 71-90
   *สาเหตุ
   1.ภายนอก
   - เศรษฐกิจของครอบครัว
   - การเสริมสร้างประสบการณ์ให้แก่เด็ก
   - สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
   - การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
   - วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
  2.ภายใน
   - พัฒนาการช้า
   - การเจ็บป่วย

****เด็กปัญญาอ่อน
   - เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
   - แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
   - มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
   - มีความจำกัดทางด้านทักษะ
   - มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
   - มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
1.เด็กปัญญาอ่อนหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 เรียกว่า C.M.R.(Custodial Mental Restar dation)
3.เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 เรียกว่า T.M.R(Trainable Mentally Retarded)
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียกว่า E.M.R(Education Mentally Retarded)

2.เด็กกพร่องทางการได้ยิน(Chilrren with Hearing Impaired)
   หมายถึง เด็กที่มีความกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท เด็กหูตึงและเด็กหูหนวก
****เด็กหูตึง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
****เด็กหูหนวก

   -เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
   -เครื่องช่วยฟังไม่สามาถช่วยได้
   -ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
   -ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

3.เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
  จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และเด็กตาบอดไม่สนิท
สะท้อนผลการเรียนรู้
    วันนี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความกพร่องไปทั้งหมด 2 ประเภท ทำให้ได้รู้ว่าเราควรที่จะส่งเสริมเด็กแต่ละประเภทอย่างไร เพื่อให้มีความสามารถในการเรียนรู้ได้เต็มที่